หัวข้อ ผลการประเมิน blog
-เนื้อหาเกี่ยวกับ
ประวัติของนักวิทยาศาสตร์ มีผลงานอะไรบ้าง อาชีพนักวิทยาศาสตร์ เป็นอาชีพที่ท้าทายความสามารถ เป็นอาชีพที่เห็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าทำให้มีคุณค่า เป็นอาชีพที่เห็นสิ่งที่มีประโยชน์น้อยทำให้มีประโยชน์มาก เป็นอาชีพที่สร้างสรรค์ทรัพยากรให้มีคุณค่า เป็นอาชีพที่คนทั่วไปมองไม่เห็นแต่นักวิทยาสาสตร์มองเห็นหรืออาจจะเห็นก่อนใคร เป็นอาชีพที่มองเห็นจุดของแสงสว่างก่อนใครในท่ามกลางแห่งความมืด เป็นอาชีพที่มีความอิสระเชิงความคิด -วัตถุประสงค์/เป้าหมาย
1. เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในหมู่สมาชิก และผู้สนใจในวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย
2. เพื่อส่งเสริมการศึกษา และค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
3.เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่ผู้ที่สนใจ
4. เพื่อส่งเสริม และดำเนินการค้นคว้า ปรับปรุง และประดิษฐ์อุปกรณ์ เกี่ยวกับการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี
5. เพื่อส่งเสริม และดำเนินการค้นคว้า ปรับปรุง และจัดทำแบบเรียน แบบฝึกหัด
-เนื้อหาเป็นประโยชน์ 5 คะแนน
-ความน่าสนใจ 5 คะแนน
พัฒนาความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี ซึ่งจะทำประโยชน์อย่างมหาศาลให้แก่ กลุ่มคนหรือสังคมที่ให้การสนับสนุนการใช้ความสามารถและความสนใจทางวิทยาศาสตร์ของผู้ประกอบอาชีพนี้อย่างเต็มที่
-ความทันสมัย 4 คะแนน
-การออกเเบบ/ความสวยงาม 5 คะแนน
-ความเรียบง่าย (อ่านง่าย เข้าใจง่าย) 5 คะแนน
อ่านแล้วมันได้ ข้อคิดดีๆ เยอะ สมองจะได้ไม่ฝ่อ " วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ที่รวมของข้อเท็จจริงและ
หลักการที่จะเรียนรู้ได้ด้วยการจำ มันเป็นวิธีการที่จะมองโลกและตั้งคำถาม "
สรุปคะแนน 24 คะแนน
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552
หัวข้อ ผลการประเมิน blog
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 08:36 0 ความคิดเห็น
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552
ชื่อ นิโคลาส โคเปอร์นิคัส ( Nicolas Copernicus )
ชื่อ นิโคลาส โคเปอร์นิคัส ( Nicolas Copernicus )
เกิดเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1479
สถานที่เกิด เมืองตูรอน ประเทศโปแลนด์
ผลงาน เป็นผู้ค้นพบดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
โลกและดาวเคราะห์ต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์
ถึงแก่กรรม 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1543 เมืองฟรอนเบอร์ก
ประวัติโดยย่อ
นิโคลาส โคเปอร์นิคัส มีความสนใจด้านดาราศาสตร์มาก จึงเฝ้าดูและศึกษาเกี่ยวกับดาวและดวงอาทิตย์ โดยผ่านเส้นเมอริเดียนที่เขาประดิษฐ์ขึ้นเอง เขาสังเกตและทดลองเป็นเวลานานจึงพบว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทฤษฎีของเขาขัดกับอริสโตเติลที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์และดวงดาวโคจรเป็นวงกลมรอบโลก แต่เขาก็ไม่กล้าขัดแย้งคำกล่าวของอริสโตเติลเพราะถือเป็นการขัดแย้งต่อศาสนาและจะถูกลงโทษอย่างหนัก
นิโคลาส โคเปอร์นิคัสได้เขียนหนังสือ " De Revolutionibus Orbium Coelestium " ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานทางดาราศาสตร์ที่สำคัญ และต่อมากาลิเลโอก็ได้ยืนยันว่าความคิดของนิโคลาส โคเปอร์นิคัสว่าถูกต้อง
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 20:10 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/darwin.htm
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552
หลักการออกแบบและพัฒนาการนำเสนองานผ่านเว็บ
1. ความเรียบง่าย: จัดทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และสามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหา
2. มีความคงตัว (consistent): เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญ หรือเป็นเนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรในสไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้าง หรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้แตกต่างจากเนื้อหาสักเล็กน้อยก็อาจทำได้เช่นกัน
3. ใช้ความสมดุล: การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้มีลักษณะสมดุลมีแบบแผน (formal balance) หรือสมดุลไม่มีแบบแผน (informal balance) ก็ได้ แต่ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ให้เหมือนกันเพื่อความคงตัว
4. มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น: ข้อความ และภาพที่บรรจุในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หากเนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่
5. สร้างความกลมกลืน: ใช้แบบอักษรและภาพกราฟิกให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา ใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช้สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกภาพกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา รวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการด้วย
6. แบบอักษร: ไม่ใช้อักษรมากกว่า 2 แบบในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็นเนื้อหา หากต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา (bold) หรือตัวเอน (italic) แทนเพื่อการแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่าง
7. เนื้อหา และจุดนำข้อความ: ข้อความในสไลด์ควรเป็นเฉพาะหัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมีจุดนำข้อความมากกว่า 4 จุดในสไลด์แผ่นหนึ่ง โดยสามารถใช้ต้นแบบสไลด์ที่มีจุดนำข้อความใน Auto Layout เพื่อเพิ่มจุดนำข้อความให้ปรากฏขึ้นหน้าข้อความแต่ละครั้งเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้รับฟังการนำเสนอ อาจจะใช้การจางข้อความ (dim body text) ในข้อความที่บรรยายไปแล้วเพื่อให้มีเฉพาะจุดนำข้อความ และเนื้อหาที่กำลังนำเสนอเท่านั้นปรากฏแก่สายตา
8. เลือกใช้กราฟิกอย่างระมัดระวัง: การใช้กราฟิกที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล แต่หากใช้กราฟิกที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้
9. ความคมชัด (resolution) ของภาพ: เนื่องจากความคมชัดของจอมอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น ภาพกราฟิกที่นำเสนอประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรูปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB ซึ่งท่านควรทำการบีบอัด หรือcompress และลดขนาดภาพก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการเก็บบันทึก และการจัดส่งไฟล์ผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- mail) หรือการอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์จะสามารถทำได้ไวยิ่งขึ้น
10. เลือกต้นแบบสไลด์ และแบบอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ร่วม: เนื่องจากการนำเสนอต้องมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ร่วม เช่น เครื่องแอลซีดี หรือโทรทัศน์เพื่อเสนอข้อมูลขยายใหญ่บนจอภาพ ดังนั้น ก่อนการนำเสนอควรทำการทดลองก่อนเพื่อให้ได้ภาพบนจอภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะว่าเมื่อฉายแล้วเสี้ยวซ้ายของสไลด์จะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลักของอัตราส่วน 4:3
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 09:19 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://supanida-opal.blogspot.com/2008/06/blog-post_672.html
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
การวิเคราะห์และประเมินผลงานสื่อนำเสนอแบบต่างๆ
ปัจจุบันสื่อมีความหลากหลายและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น นอกจากช่องทางแบบเก่าคือ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมห์แล้ว มีช่องทางใหม่ๆผ่านสื่อดิจิตอล ได้แก่ เว็บ บล็อก โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (ipod) ข้อมูลข่าวสารทั้งหลายจึงทะลักสู่ผู้รับเป็นจำนวนมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน ผู้ส่งข่าวสารจึงกลายเป็นผู้กำหนดการรับรู้ข่าวสารของผู้รับไปโดยปริยาย
ตามทฤษฎีของนักคิดด้านสังคมคนสำคัญคือ มิเชล ฟูโกต์(Michel Foucault) เสนอว่า สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของเจ้าของสื่อหรือผู้ที่สามารถควบคุมสื่อไว้ในมือ อธิบายได้ว่า การใช้สื่อเผยแพร่แนวคิด อุดมคติ ความเชื่อ ให้แก่คนทั้งหลาย ตอกย้ำซ้ำเติมอยู่ตลอดเวลา จนผู้ที่รับข่าวสารเกิดความคล้อยตาม เชื่อ และทำตามผู้ที่เป็นเจ้าของหรือควบคุมสื่อต้องการในที่สุด
จะเห็นได้ชัดเจนในทางการเมืองที่รัฐจะใช้สื่อในการสร้างอุดมการณ์ทางการเมืองขึ้น ให้คนในชาติเกิดความ มีความคิดความเชื่อเป็นหนึ่งเดียว คล้อยตามการชี้นำของรัฐ นำไปสู่การจงรักภักดีต่อรัฐ จนในที่สุดรัฐหรือรัฐบาลสามารถบงการประชาชนให้เชื่อฟังและทำตามความต้องการได้ การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลและรักษาอำนาจของตนก็ทำได้โดยง่ายดาย
ปัจจุบัน สื่อก็เป็นเครื่องมือ ในการสร้างอำนาจให้แก่ผู้ใช้สื่ออยู่เช่นเดิม เพียงแต่อำนาจที่ว่านั้น ไม่ใช่อำนาจทางการเมืองเสมอไป เพราะการเป็นเจ้าของสื่อไม่ได้จำกัดอยู่ที่รัฐเพียงเท่านั้น เอกชนก็สามารถเป็นเจ้าของสื่อได้ ดังนั้น ผู้ที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาอำนาจของตน จึงเปิดกว้างมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังอยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของรัฐ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
เมื่อการเป็นเจ้าของสื่อเปิดกว้างขึ้น การใช้สื่อก็กว้างขวางขึ้น ผู้ที่มีสื่อในมือก็สามารถใช้สื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้อย่างแทบไม่มีข้อจำกัด เช่น
ในทางการเมือง รัฐก็ยังคงใช้สื่อภายใต้การกำกับหรือสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ ในการเผยแพร่ความ คิดอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่เช่นเดิม ดังเช่น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เป็นสื่อที่รัฐเป็นเจ้าของ จึงทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ของรัฐเป็นหลัก
ในการต่อสู้ทางการเมือง สื่อยิ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของแต่ละฝ่าย เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแก่ฝ่ายตนและทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงกันข้าม ดังเช่น ความขัดแย้งทางการเมืองในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปี พ.ศ.2547-2549 โดยสองฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่รวมตัวกันในนาม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองโดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการกระทำอันมิชอบของรัฐบาล และดำเนินการชุมนุมต่อต้านขับไล่รัฐบาลให้พ้นจากตำแหน่ง โดยมีประชาชนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม ทั้งสองฝ่ายต่างใช้สื่อที่ตนครอบครองอยู่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ในมุมของตนออกสู่สาธารณชน
ในทางการค้า ปัจจุบันสื่อกลายเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งให้เจ้าของสินค้าใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ให้คนทั่วไปได้รับรู้ในสินค้าและบริการของตน รวมถึงการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อถือและความนิยมในสินค้า ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม รูปแบบการนำเสนอได้ถูกคิดค้นขึ้นมานานาชนิด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างความประทับใจให้ได้มากที่สุด อันจะนำไปสู่การซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย
ด้วยเหตุที่สื่อเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ทำให้ผู้คนรับรู้ เชื่อถือ คล้อยตาม และนำไปสู่การยอมรับ ดังนั้นเราจึงเห็นการขับเคี่ยวแข่งขันกันผ่านสื่อของเจ้าของสินค้าและบริการ รวมถึงในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้น คู่ขัดแย้งก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความถูกต้องให้แก่ฝ่ายตนและทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม คำถามก็คือ ข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น มีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด
ความชอบธรรม ความถูกต้อง ของฝ่ายตนกล่าวอ้างผ่านสื่อนั้น แท้จริงแล้วเป็นความถูกต้องความชอบธรรมที่แท้จริงหรือไม่ และความผิด ความไม่ชอบธรรมของฝ่ายตรงกันข้าม เป็นความจริงหรือไม่ นี่ย่อมเป็นคำถามที่มีต่อทุกฝ่ายที่ใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล
หรือคุณภาพของสินค้าและบริการที่เผยแพร่ผ่านสื่อนั้น มีความถูกต้องตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการโฆษณาที่มุ่งเสนอคุณภาพของสินค้าและบริการนั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเพียงใด เป็นความจริงที่แท้จริงของสินค้า หรือเป็นความจริงสมมติที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะในโฆษณาเท่านั้น
สื่อจึงเป็นเหมือนสนามรบให้ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอย่างดุเดือด สงครามข้อมูลผ่านสื่อนั้น ไม่ว่าเป็นสงครามแบบไหน ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้รับสื่อ คือเราๆท่านๆที่บริโภคข่าวสาร ผ่านช่องทางต่างๆ อันเป็นกลุ่มเป้าหมายของคู่สงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามการเมือง การค้า การตลาด การบริการ
ผู้รับสื่อจึงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ ก่อนที่จะเชื่อ จะเห็นด้วย และคล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสินค้าตัวใดตัวหนึ่งเพราะกระบวนการตกแต่งข้อมูล บิดเบือนข้อเท็จจริงนั้น สามารถทำได้ ไม่ว่าจากฝ่ายใด
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ผู้บริโภคสื่อ คือตัวเรานั้น เป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อและเป็นเหยื่อ
จากนั้นก็คิดวิธีรักษาตัวให้รอดจากการตกเป็นเหยื่อให้ได้เป็นลำดับถัดมา
ขอให้โชคดีทุกคน.
การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน
- ความหมายของการประเมินผลสื่อการเรียนการสอน
- การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน
การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative)
- การทดสอบสื่อ
การประเมินผลสื่อการเรียนการสอน หมายถึง การวัดผลสื่อการเรียนการสอนมาตีความหมาย (Interpretation) และตัดสินคุณค่า (Value judgment) เพื่อที่จะรู้ว่า สื่อนั้นทำหน้าที่ตาม วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้แค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใด มีลักษณะถูกต้องตามที่ต้องการ หรือไม่ประการใด
การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน
การตรวจสอบแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่ คือ
การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualitative)
การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ (Structural)
1. ลักษณะสื่อ
1.1 ลักษณะเฉพาะตามประเภทของสื่อ
1.2 มาตรฐานการออกแบบ (Design Standards)
1.3 มาตรฐานทางเทคนิควิธี (Technical Standards)
1.4 มาตรฐานความงาม(Aesthetic standards)
ผู้ตรวจสอบลักษณะสื่อการเรียนการสอน ได้แก่ นักโสตทัศนศึกษา
นักเทคโนโลยีการศึกษา
2. เนื้อหาสาระ
เนื้อหาที่ปรากฏในสื่อจะต้องครบถ้วนและถูกต้อง ความถูกต้องนี้จะถูกต้องตามเนื้อหารสาระจริง ซึ่งอาจบอกขนาด ปริมาณ และหรือเวลา เป็นต้น สาระ หรือมโนทัศน์ที่สำคัญต้องปรากฏอย่างชัดเจน
ผู้ตรวจสอบเนื้อหาสาระ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระเฉพาะ และครูผู้สอนกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนอย่างน้อย 3 คน
การตรวจสอบคุณภาพสื่อ (Qualilative basis)
เครื่องมือ
ในการทดสอบคุณภาพสื่อการเรียนการสอน เครื่องมือที่นิยมใช้กันมา
มี 2 แบบ คือ
1. แบบทดสอบ การพัฒนาแบบทดสอบมีขั้นตอนดังนี้
กำหนดจำนวนข้อของแบบทดสอบ
พิจารณากำหนดน้ำหนักวัตถุประสงค์แต่ละข้อของการพัฒนาสื่อ แล้วคำนวณจำนวนข้อทดสอบสำหรับวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
สร้างข้อสอบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อ 1.2 โดยสามารถวัดตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ในวัตถุประสงค์แต่ละข้อ โดยปกติควรจะสร้างข้อสอบสำหรับวัดแต่ละวัตถุประสงค์ให้มีจำนวนข้ออย่างน้อยที่สุดเป็น 2 เท่าของจำนวนข้อสอบที่ต้องการเพื่อการคัดเลือกข้อที่เหมาะสมหลังจากที่ได้นำไปทดลองใช้และวิเคราะห์ข้อสอบ
พิจารณาตรวจเพื่อความถูกต้อง
นำแบบทดสอบไปทดลองใช้กับตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย
วิเคราะห์แบบทดสอบโดยตรวจค่าความเชื่อมั่น ความตรงเชิงเนื้อหา และค่าความยากง่าย
คัดเลือกข้อสอบให้มีจำนวนข้อตามความต้องการ
2. แบบสังเกต สิ่งสำคัญที่ควรสังเกต และบันทึกไว้เป็นรายการในแบบสังเกต คือ
ความสามารถเข้าใจได้ง่าย (Understandable)
การใช้ประสาทสัมผัสได้ง่าย เช่น มีขนาด อ่านง่าย หรือดูง่าย คุณภาพของ
เสียงดี ฟังง่าย ฯลฯ
การเสนอตัวชี้แนะ (Cuing) สำหรับสาระสำคัญเด่น ชัดเจน สังเกตง่าย (Noticable)
ระยะเวลาที่กำหนดเหมาะสม
วิธีการใช้ที่ง่าย สะดวก ไม่ยุ่งยาก หรือสลับซับซ้อน
ผู้เรียนสนใจ และติดตามการแสดงของสื่อโดยตลอด
ตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย
ได้แก่ ผู้เรียน หรือบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายซึ่งคัดเลือกมาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างตามจำนวนที่ต้องการในแต่ละครั้งของการทดสอบ
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 01:25 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://mediatalkblog.wordpress.com/2008/03/15/media-of-wars/edu.swu.ac.th
วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ไอแซค นิวตัน ( Isac Newton )
ประวัติโดยย่อ
ไอแซค นิวตัน หลังจากจบการศึกษาแล้ว เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ในปี 1667 เขาพบปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำซึ่งนิวตันรู้และพิสูจน์ได้ว่าแสงสว่างของดวงอาทิตย์ประกอบไปด้วยสี 7 สีทำให้เกิดสีรุ้งนั่นเอง เขาจึงใช้หลักการนี้คิดประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้นแบบมีตัวสะท้อนแสง นิวตันมักจะใช้เวลาคิดเกี่ยวกับงานของเขาเงียบๆ โดยครั้งหนึ่งเขาสังเกตเห็นการหล่นของผลแอ็ปเปิ้ล ทำให้เขาเกิดความคิดเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลกที่ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้ ด้วยเหตุนี้ในปีค.ศ. 1684 นิวตันประสบความสำเร็จมากในทฤษฎีแห่งการเคลื่อนที่ของการดึงดูดของโลก และเป็นผู้ค้นพบกฏสามข้อ ซึ่งเป็นมาตราฐานของกฏของการเคลื่อนไหว เป็นหลักของวิชาไดนามิกส์ ผลงานของเขาสร้างชื่อเสียงให้กับเขามากจนได้รับบรรดาศักดิ์เป็น " เซอร์ "
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 03:03 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/isac.htm
อัลเบอร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)
ไอน์สไตน์มีพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์มาก เขาได้ศึกษาที่ The Federal Institule of Technology ในซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ไอน์สไตน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ชอบความหรูหรา การสมาคม เขาไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องเสื้อผ้า ไอน์สไตน์ได้รับการยกย่องอย่างมากโดยเฉพาะทฤษฎีแห่งความสัมพันธ์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพากันทึ่ง โดยกล่าวว่า " อากาศเป็นส่วนโค้งและอนุภาคที่เคลื่อนไหวเข้าไปในอากาศ ก็จะต้องมีความโค้งอนันต์ด้วย " ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี1921 และได้รับรางวัลเหรียญคอปเลย์ในปี1925 ผลงานของไอน์สไตน์มีความสำคัญมากก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ไอน์สไตน์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดระเบิดปรมาณู หรือระเบิดอะตอมอีกด้วย
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 03:02 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/albert.htm
อริสโตเติล ( Aristotle )
อริสโตเติลเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวกรีกในสมัยโบราณ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์ทุกแขนงมาเป็นเวลานานมากกว่าหนึ่งพันปี อริสโตเติลเป็นบุตรของนายแพทย์ประจำพระองค์กษัตริย์เมซิโดเนีย เขาได้ศึกษาและอยู่กับพลาโต้ จนพลาโต้เสียชีวิต หลังจากนั้นเขาได้มาเป็นครูสอนให้กับอเล็กซานเดอร์มหาราช ในระยะนั้นอริสโตเติลเขียนตำราไว้มากมาย เช่น ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิชาการปกครอง ฯลฯ นอกจากนี้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งสัตววิทยา ในฐานะที่เขาเป็นบุคคลแรกที่บันทึกพฟฒิกรรมของสัตว์ พืช และมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ริเริ่มจำแนกสัตว์เป็น 2 พวก คือ สัตว์มีกระดูกสันหลัง และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
เขาเป็นบุคคลแรกที่ให้ทฤษฎีว่า " โลกอยู่ตรงกลางของจักรวาล โดยมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนรอบ " และทฤษฎีที่ว่า " วัตถุที่มีน้ำหนักมากจะตกถึงพื้นก่อนวัตถุที่มีน้ำหนักเบา " ทฤษฎีของเขามากมายเป็นที่ยอมรับนับถือมากจนถึงสมัยคริสตศตวรรษที่ 14 แม้ว่าทฤษฎีของเขามีข้อผิดพลาดซึ่งมีผู้สามารถพิสูจน์ว่าผิดในภายหลัง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าในสมัยนั้นยังไม่มีกล้องจุลทรรศน์เลย แต่เป็นการแสดงให็เห็นว่าเขาเป็นนักสังเกตและนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 03:01 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/aristotle.htm
ลอร์ด เออร์เนสท์ รัทเทอร์ฟอร์ด ( Lord Ernest Rutherford)
เกิดเมื่อ ค.ศ.1871
ผลงาน โครงสร้างอะตอม งานเกี่ยวกับสสารกัมมันตภาพรังสี
ถึงแก่กรรม ค.ศ.1913
รัทเทอร์ฟอร์ด เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์เกี่ยวกับด้านการทดลองและได้ทดลองเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมโดยใช้การยิงอนุภาคแอลฟาผ่านไปยังแผ่นทองคำ ให้ไปกระทบกับฉากเรืองแสงด้านหลังและพบว่า แบบจำลองอะตอมของเขาขัดแย้งกับดอลตัน รัทเทอร์ฟอร์ดจึงเสนอแบบจำลองอะตอมใหม่ว่า อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสมีโปรตอนซึ่งมีขนาดเล็กแต่มีมวลมากรวมกันอยู่ตรงกลางนิวเคลียส ส่วนอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบและมีมวลน้อยมากวิ่งอยู่รอบๆนิวเคลียสเป็นบริเวณกว้าง นอกจากนี้เขายังศึกษาเกี่ยวกับสสารกัมมันตภาพรังสีต่างๆอีกด้วย
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:59 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/rutherford.htm
หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur)
หลุยส์ ปาสเตอร์ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในปารีส เมื่ออายุได้ 26 ปีเขาค้นพบกรดส้มมะขามซึ่งนำชื่อเสียงมากมาสู่เขาเพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วิชาอินทรีย์เคมีเจริญขึ้น จากการพบสารไอโซเมอร์ ปาสเตอร์ย้ายไปเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่เมืองเบอซังกอง ภายหลังย้ายไปเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่เมืองสตราเบิร์ก เขาแต่งงานกับบุตรสาวคนที่สองของอธิการบดีของมหาลัย
ปาสเตอร์ศึกษาและค้นคว้าเรื่องจุลินทรีย์ เขาพบว่าจุลชีพที่ทำให้อาหารเน่าเปื่อยไม่ได้เกิดขึ้นเองแต่เกิดจากฝุ่นละอองในอากาศ วิธีป้องกันคืออย่าให้อากาศหรือฝุ่นละอองเข้าไปโดยอาศัยการให้ความร้อน45องศาเซนติเกรต เรียกว่า "ปาสเตอใรเซชั่น"
ปาสเตอร์มีความตั้งใจจะคิดหาวิธีการป้องกันและรักษาโรคกลัวน้ำ โดยการฉีดเชื้อไวรัสโรคกลัวน้ำแก่สุนัขเป็นภูมิคุ้มกันและหลังจากนั้นก็ฉีดเชื้อไวรัสที่ทำให้อ่อนแอลงให้แก่สุนัข ปรากฏว่าสุนัขไม่ติดโรคกลัวน้ำ เขารักษาโรคกลัวน้ำได้สำเร็จ ชื่อเสียงของปาสเตอร์เป็นที่ร่ำลือมาก เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของปาสเตอร์ ตามหัวเมืองของประเทศต่างๆ มีการจัดตั้งสถานปาสเตอร์ขึ้น
นอกจากนี้ปาสเตอร์ยังคิดยารักษาโรคต่างๆมากมาย เช่น พิษจากงู อหิวาตกโรค วัณโรค ทำให้เขาเป็นที่ยกย่องและสรรเสริญของทั่วโลก
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:49 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/louis.htm
โทมัส เอลวา เอดิสัน ( Thomas Alva Edison )
ประวัติโดยย่อ
โทมัส เอดิสัน เป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์มาก เขาเริ่มประดิษฐ์สิ่งต่างๆตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ เมื่อเขาอายุ 12 ขวบ เขาเริ่มสะสมข้าวของเกี่ยวกับการทดลองวิทยาศาสตร์ โดยทำงานเป็นเด็กขายหนังสือพิมพ์ ต่อมาเขาได้ทำงานเป็นเด็กเดินข่าวของรถไฟ เขาใช้เวลาของเขาทดลองวิทยาศาสตร์ในโบกี้เก่าๆ ครั้งหนึ่งเอดิสันทดลองเคมีทำให้เกิดเสียงระเบิดไฟไหม้ พนักงานดูแลผลักเขาลงมาจากรถ พร้อมด้วยอุปกรณ์เคมีนั้น บางแห่งก็ว่าเขาถูกตบแก้วหูทำให้แก้วหูหนวกและอื้อ บางแห่งว่าเกิดเสียงระเบิดสนั่นทำให้เอดิสันกลายเป็นคนหูหนวก แต่ตามที่เอดิสันแถลงเขากล่าวว่า การที่เขาหูพิการเกิดจากเขาลื่นไถลลงไปใต้ท้องรถไฟจนเกือบจะถูกล้อทับ ได้มีคนช่วยเหลือเขาไว้โดยจับหูเขาดึงขึ้นมาบนรถ เมื่อเอดิสันอายุ 21 ปี เขาจดลิขสิทธ์สิ่งประดิษฐ์ของเขามากกว่า 1200 อย่าง ในปีค.ศ. 1878 เขาประดิษฐ์สิ่งต่างๆเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า เอดิสันคิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า โดยนำหลอดไฟฟ้าของโจเซฟ สวอน มาปรับปรุง โดยทำให้หลอดแก้วเป็นสุญญากาศ แท่งคาร์บอนหรือเส้นลวดก็จะให้แสงส่วางมาก โดยไม่ทำให้หลอดแก้วร้อน สิ่งประดิษฐ์นี้สร้างชื่อเสียงให้กับเขามาก นอกจากนี้เอดิสันได้คิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆไม่หยุดหย่อน เขาสามารถสร้างเครื่องบันทึกเสียงได้ทั้งๆที่เขาเป็นคนหูหนวก รวมไปถึงหีบเสียงและกล้องถ่ายภาพยนตร์ ผลงานมากมายของเขาทำให้เขาเป็นที่กล่าวขานว่า " เป็นยอดนักประดิษฐ์ " เมื่อเอดิสันถึงแก่กรรมจึงมีการจัดให้สร้างหอเมนโลปาร์คเป็นที่ระลึกถึงความสามารถของเอดิสัน
ผลงาน
-เป็นผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
-เป็นผู้ประดิษฐ์หีบเสียง
-เป็นผู้ประดิษฐ์จานเสียง
-เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียง
-เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:47 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/edison.htm
เซอร์ ฮัมฟรีย์ เดวี ( Sir Humphry Davy )
ปี ค.ศ.1795 หลังจากบิดาของเขาถึงแก่กรรมฮัมฟรีย์ เดวีเข้าทำงานในร้านปรุงยาแห่งหนึ่ง ทำให้เขาเริ่มสนใจงานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น เขาสนใจที่จะเรียนรู้โดยพยายามเสาะแสวงหาตำราต่างๆมาศึกษา เขาใช้ทฤษฎีจากตำราของลาวัวซิเยอร์ในการค้นคว้าทดลอง เมื่อเขาออกจากสำนักปรุงยา เขาได้เข้าทำงานกับ ดร. โทมาส เบคโคส์ เป็นผู้ดูแลห้องทดลองวิทยาศาสตร์ เดวีทำการทดลองและค้นคว้าด้วยตนเอง จนกระทั่งเขาพบก๊าซชนิดหนึ่ง ( คือ ไนตรัสออกไซด์ ) เดวีสูดเข้าไปโดยบังเอิญทำให้เขาหมดสติไป และตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ เขาเรียกมันว่า " ก๊าซหัวเราะ " ปัจจุบันใช้ในการทำยาสลบเพื่อระงับความเจ็บปวดของคนไข้ขณะผ่าตัด การค้นพบก๊าซนี้สร้างชื่อเสียงให้เขาโดยไม่รู้ตัว ต่อมาเขากลายเป็นศาสตราจารย์ ฮัมฟรีย์ออกเดินทางบรรยายความรู้ทางเคมีที่เขาทดลองออกสู่ประชาชน ในจำนวนผู้สนใจการบรรยายของเดวี มีอยู่คนหนึ่งซึ่งต่อมาได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคือ ไมเคิล ฟาราเดย์ เมื่อปีค.ศ. 2358 เดวีได้ประดิษฐ์ตะเกียงนิรภัยขึ้นเพื่อใช้ในกิจการเหมืองเป็นครั้งแรก เนื่องจากในเหมืองมีก๊าซที่เรียกว่า " ไฟอับ " หรือไฟร์แดมพ์ทำให้เกิดระเบิด เดวีจึงสร้างตะเกียงนิรภัยให้คนงานถ่านหินใช้ สร้างชื่อเสียงให้กับเขามาก นอกจากนี้เดวียังเป็นคนค้นพบไอโอดีนอีกด้วย เดวีมีชื่อเสียงมากจนได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็น " เซอร์ " ในปี1812
ผลงาน
-เป็นผู้พบยาสลบที่ใช้ในทางการแพทย์
-เป็นผู้ประดิษฐ์ตะเกียงเจ้าพายุ ( ตะเกียงสำหรับให้แสงสว่าง สำหรับการขุดแร่ในอุโมงค์ )
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:46 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/davy.htm
ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin)
ชาร์ล ดาร์วิน เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ซึ่งได้ให้ผลการพิสูจน์สำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ในวัยเด็กดาร์วินสนใจในธรรมชาติ และวิทยาศาสตร์ เขาได้ศึกษาวิชาแพทย์ในวิทยาลัย แต่ก็ไม่ชอบ จึงได้ศึกษาวิชาศาสนาแทน แต่ก็ศึกษาวิชาชีววิทยา ธรณีวิทยา และฟอสสิสไปด้วย ในปี 1831 หลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แล้ว เขาได้เดินทางศึกษาวิทยาศาสตร์รอบโลกด้วยเรือของราชนาวีอังกฤษที่ชื่อบีเกิล และได้รวบรวมฟอสสิสและศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ที่มีชีวิตที่เขาได้พบเห็น การเดินทางครั้งนี้ทำให้ดาร์วินมีความเชื่อว่าพืชและสัตว์ทั้งหลายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในทันทีทันใด แต่ชนิดของต้นไม้หรือสัตว์มีวิวัฒนาการหรือมีการพัฒนา สิ่งเก่าตายไปหลังจากเวลาอันยาวนาน ดาร์วินได้ใช้เวลา 20 ปี ต่อมาในอังกฤษรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ในปี 1859 เขาได้พิมพ์หนังสือที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ซึ่งมีชื่อว่า On the Origin of the Species ดาร์วินถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1882
ผลงาน
-เป็นผู้การค้นพบการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
จนได้รับการขนานนามว่า "บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์"
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:44 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/darwin.htm
เกกอร์ เมนเดล ( Gregor Mendel )
เกกอร์ เมนเดล เป็นบุตรของชาวนายากจน เขาจึงต้องบวชเพื่อจะได้มีโอกาสศึกษาต่อ หลังจากศึกษาจบ เขาเป็นบาทหลวงและทุ่มเทเวลาให้กับการสอนและการทำงานในสวนของวัด เขาเกิดความสงสัยว่าอะไรเป็นสาเหตุของสิ่งมีชีวิตทั้งๆที่อยู่ในตระกูลเดียวกันก็ทำให้สี ขนาด และรูปร่างแตกต่างกันไป เมนเดลใช้เวลาในการทดลองเกี่ยวกับต้นถั่งเป็นเวลาถึงแปดปี ในที่สุด เมนเดลสรุปผลออกมาเป็นกฏดังนี้ 1. เมื่อผสมถั่วต้นสูงกับถั่งต้นแคระผลผลิตรุ่นที่หนึ่งออกมาจะเป็นถั่วต้นสูงหมดทุกต้น เพราะถั่วต้นสูงเป็นหน่วยถ่ายพันธุ์ที่ สำคัญคือ " โดมิแนนท์ยีน " เรียกว่าลักษณะเด่น ส่วนถั่วต้นเตี้ยเป็นหน่วยถ่ายพันธุ์ตัวรองคือ " รีเซสซีพยีน "เรียกว่าลักษณะด้อย 2. เมื่อนำผลผลิตรุ่นแรกมาผสมกับผลผลิตรุ่นที่สองจะมีถั่วต้นเตี้ยหนึ่งในสามแสดงใหเห็นว่าลักษณะด้อยนั้นไม่ได้หายไปแต่แฝงอยู่เท่านั้น เมนเดลเขียนเรื่องราวเหล่านี้ส่งไปยังสมาคมวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งกรุงบรึน แต่ไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้น 16 ปี ตรงกับปีค.ศ. 1900 มีนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยเกี่ยวกับรื่องพันธุกรรม ผลงานของเมนเดลจึงได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ และเป็นที่ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของเมนเดล ผู้ซึ่งตัวเขาเองขณะที่มีชีวิตอยู่ไม่เคยได้รับการยกย่องจากงานชิ้นยอดเยี่ยมที่โลกไม่มีวันลืมผลงานของเขา
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:43 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/mendel.htm
กาลิเลโอ กาลิเลอิ ( Galileo )
ประวัติโดยย่อ
กาลิเลโอมีความสนใจวิชาวิทยาศาสตร์มาก เมื่ออายุ 18 ปี วันหนึ่งเขานั่งอยู่ในโบสถ์และสังเกตเห็นการแกว่งของตะเกียงที่ห้อยลงมาจากเพดานใช้เวลาเท่ากัน แม้ว่าระยะแกว่งจะสั้นกว่าเดิมโดยใช้การเต้นของชีพจรจับเวลา จากการค้นพบนี้ทำให้กาลิเลโอตั้งกฎเกี่ยวกับการแกว่งลูกตุ้มนาฬิกาขึ้นและประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้มขึ้นเป็นคนแรก
ค.ศ. 1610 กาลิเลโอ ประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ขึ้น เขาค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 4 ดวงและดวงจันทร์โคจรรอบดาวพฤหัส ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสที่ว่า " ดวงจันทร์โคจรรอบโลก " กาลิเลโอไม่ได้รับการยกย่องมากนักในสมัยนั้น เนื่องจากความคิดของกาลิเลโอขัดกับทฤษฎีของอริสโตเติลที่ว่า " วัตถุน้ำหนักไม่เท่ากัน วัตถุที่หนักกว่าจะตกถึงพื้นก่อน " แต่ทฤษฎีของกาลิเลโอแย้งว่า " วัตถุที่มีน้ำหนักต่างกันจะตกถึงพื้นพร้อมกัน " เขาพิสูจน์ทฤษฎีนี้ต่อหน้าสาธารณชนโดยโยนวัตถุ 2 สิ่งลงมาจากหอเอนเมืองปิซา ทฤษฎีนี้กลายเป็นข้อกล่าวหาทำนองลบหลู่ศาสนา เพราะประชาชนในยุคนั้นเชื่อแต่อริสโตเติลและไม่กล้าคัดค้านหรือพิสูจน์คำกล่าวของอริสโตเติล ปัจจุบันกาลิเลโอได้รับยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของโลก
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 02:34 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/5-5/no31/galileo.html
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
แนะนำตัว
สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เขียนโดย ธนาภา51010514513 ที่ 21:09 0 ความคิดเห็น